fwdmail
โดย นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่านบทความหนึ่งที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง sex ในผู้สูงอายุ (ที่ยังหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์) ว่าการได้มี sex กับเด็กสาวอายุน้อยๆ จะทำให้ชีวิตยืนยาว สุขภาพแข็งแรง ผู้สูงอายุบางคนอาจเห็นด้วย เพราะเปรียบเสมือนการได้รับประทานผลไม้สดๆ ย่อมนำมาซึ่งความสุขสดชื่นเป็นธรรมดา แต่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบก็ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าแง่บวก เนื่องจากศีลธรรมและค่านิยมของสังคม ตลอดจนเรื่องของสังขารนั้นไม่เหมาะสมโดยสิ้นเชิง
จากการที่มีข่าวคาวแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เราน่าจะหันมาให้ความใส่ใจ ไม่เฉพาะในวัยผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ควรมีการใส่ใจเรื่องพฤติกรรมทางเพศในทุกๆ วัยด้วยเพื่อหาทางป้องกันและแก้ปัญหาความไม่เหมาะสมของ “วัย และ sex” หรือพัฒนาการทางเพศในแต่ละวัยครับ
พัฒนาการทางด้านร่างกายของมนุษย์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงควบคู่กับพัฒนาการทางด้านจิตใจ รวมทั้งเรื่องเพศก็เช่นเดียวกัน หลายคนเข้าใจว่าเรื่องทางเพศจะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น แต่ในความเป็นจริงแล้วการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนวัยรุ่นเสียอีก เพียงแต่มิได้ออกมาในเรื่องของกิจกรรมทางเพศ แต่ออกมาในเรื่องของการรับรู้บทบาทของตนเองว่าเป็นเพศใด เป็นต้น
วัยเด็กตอนต้นหรือวัยก่อนเข้าโรงเรียน
ถือเป็นช่วงวิกฤตครับ ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องของปมอีดีปุส (Oedepus Complex) ซึ่งฟรอยด์ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเด็กที่มีต่อพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกับตน โดยอาจเกิดการแข่งขัน ริษยาพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกับตน ที่ให้ความรักกับพ่อหรือแม่ที่เป็นเพศตรงข้ามกับตัวเอง
ถ้าเด็กไม่สามารถผ่านช่วงของการพัฒนาการทางจิตใจในวัยนี้ไปได้ก็อาจมีปัญหาขึ้น อาจนำมาเรื่องของพัฒนาการทางเพศและจิตใจที่ผิดปกติได้
นอกจากนี้เด็กชายยังมีความหวาดกลัวในเรื่องการสูญเสียอวัยวะเพศของตน (Castration fear) ส่วนเด็กหญิงก็มีความกังวลและอิจฉาที่ตนเองไม่มีอวัยวะเพศเหมือนเพศชาย (Penis Envy) ซึ่งในวัยนี้เด็กอาจจะมีการจับต้องหรือเล่นอวัยวะเพศของตนเองบ่อยๆ อยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่ถือเป็นความผิดปกติ เพียงแต่พ่อแม่ต้องคอยชักจูงให้เด็กไปสนใจในด้านอื่นแทน ไม่ควรดุหรือทำโทษเนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาตามมาเมื่อเป็นวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ได้
วัยเด็กตอนปลายหรือวัยเรียน
เด็กจะเริ่มมองเห็นและรู้จักตนเองมากขึ้น มีการเลียนแบบพฤติกรรมทางเพศอย่างกว้างขวาง โดยการเรียนรู้จากบุคคลที่ได้พบเห็นและจากการที่ได้เห็นได้ฟังจากสื่อต่างๆ และที่สำคัญคือ กลุ่มเพื่อนซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพด้วย ถ้าเกิดปัญหาในการพัฒนาการวัยนี้ อาจทำให้เด็กประพฤติตัวไม่เหมาะสมตามบทบาททางเพศของตนเอง
แต่พฤติกรรมทางเพศก็มิได้แสดงออกมาอย่างโดดเด่นมากนัก โดยรวมวัยนี้ยังไม่ค่อยมีปัญหาทางเพศมากนัก เนื่องจากรูปลักษณ์ของเพศยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง และเด็กยังให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องเรียน เรื่องเล่นเป็นส่วนใหญ่
วัยรุ่น ซึ่งแบ่งเป็นวัยรุ่นตอนต้น ตอนกลางและตอนปลาย
วัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย รวมถึงเรื่องทางเพศด้วย สิ่งที่ตามมาที่สำคัญคือเรื่องอารมณ์ ความคิดอ่อนไหว และแปรปรวนง่าย เนื่องจากวัยนี้เป็นวัยที่ต้องการการยอมรับจากสังคมหรือจากเพื่อนฝูงเป็นหลัก จึงแสดงออกเพื่อเรียกร้องความสนใจ
ด้วยพฤติกรรม นิสัยใจคอ และที่น่าเป็นห่วงคือการใช้ sex เป็นเครื่องมือในการเรียกร้องการยอมรับด้วยเช่นกัน นำมาซึ่งปัญหามากมาย และ sex ของวัยรุ่นนี้นับวันจะเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
มาถึงวัยผู้ใหญ่หรือวัยหนุ่มสาว
เป็นวัยที่ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เป็นวัยแห่งการเลือกคู่ครอง (และคู่ควง) ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนคู่อยู่บ่อยๆ เมื่อยังไม่ถูกใจ มีความกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตา การแข่งขันกันในระหว่างเพศเดียวกัน
ความจริงแล้ววัยนี้เป็นวัยสำคัญมากในเรื่อง sex เกี่ยวข้องกับชีวิตสมรสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การมี sex ที่สำส่อนไปเรื่อยๆ นอกจากทำให้ไม่สามารถมีคู่ครองที่เหมาะสมแล้ว ยังเป็นพื้นฐานของความล้มเหลวในชีวิตคู่ด้วย
วัยผู้ใหญ่ตอนกลางหรือวัยกลางคน หมายถึงช่วงอายุ40 –60 ปี หรือ 65 ปี
ซึ่งนับเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อหลังจากที่ผ่านช่วงของการหาคู่ครองมาแล้ว เป็นวัยที่เตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยชรา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงแน่นอนคือรูปร่างหน้าตาและอวัยวะภายในที่สมรรถภาพลดลงไป รวมถึงสมรรถภาพทางเพศที่ลดหย่อนลงตามไปด้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และสุขภาพจิตได้ โดยเฉพาะคำว่า “วัยทอง” ที่เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ส่วนวัยชราหลังอายุ 60 ปีขึ้นไป
เป็นวัยที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเรื่อง sex น้อยลง (แต่ก็น่าแปลกใจที่มีข่าวคาวๆ เกิดขึ้นอยู่บ่อย) ซึ่งในวัยนี้ถ้ายังมีปัญหาเรื่อง sex ไม่เหมาะสมอยู่ควรให้นึกถึงไว้ก่อนว่าในวัยก่อนหน้านี้ หรือพัฒนาการทางเพศของบุคคลนั้นมีความบกพร่องมานาน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือ ถ้ามีอาการ “ตัณหากลับ” นั้น ให้สงสัยอีกเรื่องหนึ่งคือ อาการเริ่มต้นของโรคสมองเสื่อม (Dementia) และมีการคิดการตัดสินใจในการควบคุมพฤติกรรมทางเพศผิดปกติ เช่น มีความต้องการทางเพศมากเกินไป (hypersexaulity)และเกินวัย ที่เรียกว่ากลุ่มอาการแมเนีย (manic syndrome) และอาจจะตามมาด้วยคดีอาชญากรรม(ที่มักไม่ค่อยรุนแรง) เช่น อนาจาร เป็นต้น
วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ลดไขมันง่ายๆ แค่นี้เอง
fwdmail
อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริง น้ำ เป็น "อาหารอันวิเศษ " ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร
ต้องทำน้ำเพื่อให้ไตทำงาน
ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเราทานน้ำไม่เพียงพอ เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ตับก็จะเป็นตัวที่ต้องทำงานหนักขึ้น หน้าที่หลักของตับก็คือ ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายให้เกิดเป็นพลังงาน แต่ตับต้องมาทำหน้าที่ของไต ทำให้มันไม่สามาถทำหน้าที่หลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เอง จำทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้น้อยลง และยิ่งเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น และทำให้การดูแลรูปลักษณ์หยุดชะงักลง
กักน้ำด้วยน้ำ
การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เป็นการรักษาของเหลวไว้ได้ดีที่สุด เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อย มันจะรับรู้ว่าจะต้องรักษาความอยู่รอดไว้โดยจะต้องรักษาน้ำไว้ทุกหยด ร่างกายจะกักเก็บน้ำไว้ในที่ว่างพิเศษในโพรงเล็กๆ (ภายนอกเซลล์) ซึ่งจะเห็นได้จากอาหารบวมที่เท้า มือ และขา การขับปัสสาวะจะช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว และจะบังคับให้ร่างกายเกิดความรู้สึกว่าจะต้องมีน้ำเข้ามากักเก็บไว้พร้อมกับความต้องการสารอาหารที่สำคัญบางชนิด
เมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ อาการที่เกิดขึ้นก็จะหายเป็นปกติ วิธีที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดน้ำในร่างกาย ก็คือเราจะต้องดื่มน้ำในปริมาณมากเพื่อที่ร่างกายจะมีน้ำไว้ใช้ยามขาดแคลน หากคุณมีปัญหาร่างกายขาดน้ำอาจมาจากสาเหตุที่ร่างกายได้รับปริมาณเกลือมากเกินไป ร่างกายของเราจะสามารถรับปริมาณโซเดียมได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น
แต่การกำจัดปริมาณเกลือที่ทานเข้าไปเกินความต้องการนั้นสามารถทำได้ง่าย เพียงแต่ดื่มน้ำให้มากขึ้นเท่านั้น เพราะน้ำจะช่วยให้ไตขับโซเดียมออกมา คนที่มีน้ำหนักมากร่างกายต้องการน้ำมากกว่าคนผอม คนตัวใหญ่จะมีการเผาผลาญที่มากกว่า น้ำจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีน้ำหนักมาก เพราะน้ำเป็นตัวสำคัญที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน
น้ำยังช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเรามีความชุ่มชื้น และยังทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นหลังจากการดูแลรูปลักษณ์ เซลล์ขนาดเล็กสามารถลอยตัวอยู่ได้ด้วยน้ำทำให้ผิวหนังดูเปล่งปลั่งและสดใส ชุ่มชื้น น้ำยังช่วยกำจัดของเสีย ระหว่างการดูแลรูปลักษณ์ร่างกายจะมีของเสีย โดยเฉพาะไขมันที่จะต้องกำจัดออก ซึ่งถ้าหากร่างกายมีน้ำเพียงพอก็สามารถกำจัดของเสียเหล่านี้ออกมาได้มาก
น้ำช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
น้ำสามารถช่วยไม่ให้ท้องผูก หากร่างกายได้รับน้ำน้อย ทำให้ขับถ่ายลำบาก ซึ่งทำให้เกิดท้องผูก แต่สามารถช่วยให้หายได้ โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ
ได้มีการค้นพบว่าน้ำมีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์หากได้รับน้ำไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการเผาผลาญไขมันที่สะสม หากร่างกายเก็บน้ำไว้มากจะดูได้จากการที่มีน้ำหนักเกิน แต่แก้ไขได้โดยการดื่มน้ำเพิ่มขึ้น การดื่มน้ำมากขึ้นจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะพอ?
โดยเฉพาะควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นอีก และจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหากคนๆ นั้น ชอบออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ๆมีอาการร้อน หรือแห้ง น้ำเย็นจะถูกดูดซึมในร่างกายได้เร็วกว่าน้ำอุ่น บางหลักฐานแนะนำว่า การดื่มน้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญแคลลอรี่ ในการที่จะใช้ประโยชน์จากการดื่มน้ำเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดควรปฏิบัติ ดังนี้
เช้า ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุก ๆครึ่งชั่วโมง
บ่าย ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุก ๆครึ่งชั่วโมง
เย็น ดื่มน้ำหนึ่งควอต ระหว่างเวลา 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม
เมื่อร่างกายได้รับน้ำ มันจะต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ร่างกายจำเป็นต้องรักษาระดับของของเหลวให้สมดุลย์ไว้ ซึ่งเรียกว่า breakthrough Point ซึ่งหมายถึง ต่อมเอ็นโดซีนจะสามารถทำงานได้ดีขึ้น เมื่อการรักษาระดับของเหลวในร่างกายเบาบางลงเนื้องจากสูญเสียน้ำ ไขมันจำนวนมากจะถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง
เนื่องจากตับมีอิสระในการทำหน้าที่เผาผลาญไขมันที่สะสม ทำให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ รู้สึกหิวตลอดเวลา หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดการขาดความสมดุลย์ในการรักษาระดับของเหลวในร่างกาย ซึ่งจะทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร เพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติคุณจะต้องดื่มน้ำจำนวนมากขึ้น
อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริง น้ำ เป็น "อาหารอันวิเศษ " ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร
ต้องทำน้ำเพื่อให้ไตทำงาน
ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเราทานน้ำไม่เพียงพอ เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ตับก็จะเป็นตัวที่ต้องทำงานหนักขึ้น หน้าที่หลักของตับก็คือ ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายให้เกิดเป็นพลังงาน แต่ตับต้องมาทำหน้าที่ของไต ทำให้มันไม่สามาถทำหน้าที่หลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เอง จำทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้น้อยลง และยิ่งเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น และทำให้การดูแลรูปลักษณ์หยุดชะงักลง
กักน้ำด้วยน้ำ
การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เป็นการรักษาของเหลวไว้ได้ดีที่สุด เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อย มันจะรับรู้ว่าจะต้องรักษาความอยู่รอดไว้โดยจะต้องรักษาน้ำไว้ทุกหยด ร่างกายจะกักเก็บน้ำไว้ในที่ว่างพิเศษในโพรงเล็กๆ (ภายนอกเซลล์) ซึ่งจะเห็นได้จากอาหารบวมที่เท้า มือ และขา การขับปัสสาวะจะช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว และจะบังคับให้ร่างกายเกิดความรู้สึกว่าจะต้องมีน้ำเข้ามากักเก็บไว้พร้อมกับความต้องการสารอาหารที่สำคัญบางชนิด
เมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ อาการที่เกิดขึ้นก็จะหายเป็นปกติ วิธีที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดน้ำในร่างกาย ก็คือเราจะต้องดื่มน้ำในปริมาณมากเพื่อที่ร่างกายจะมีน้ำไว้ใช้ยามขาดแคลน หากคุณมีปัญหาร่างกายขาดน้ำอาจมาจากสาเหตุที่ร่างกายได้รับปริมาณเกลือมากเกินไป ร่างกายของเราจะสามารถรับปริมาณโซเดียมได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น
แต่การกำจัดปริมาณเกลือที่ทานเข้าไปเกินความต้องการนั้นสามารถทำได้ง่าย เพียงแต่ดื่มน้ำให้มากขึ้นเท่านั้น เพราะน้ำจะช่วยให้ไตขับโซเดียมออกมา คนที่มีน้ำหนักมากร่างกายต้องการน้ำมากกว่าคนผอม คนตัวใหญ่จะมีการเผาผลาญที่มากกว่า น้ำจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีน้ำหนักมาก เพราะน้ำเป็นตัวสำคัญที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน
น้ำยังช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเรามีความชุ่มชื้น และยังทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นหลังจากการดูแลรูปลักษณ์ เซลล์ขนาดเล็กสามารถลอยตัวอยู่ได้ด้วยน้ำทำให้ผิวหนังดูเปล่งปลั่งและสดใส ชุ่มชื้น น้ำยังช่วยกำจัดของเสีย ระหว่างการดูแลรูปลักษณ์ร่างกายจะมีของเสีย โดยเฉพาะไขมันที่จะต้องกำจัดออก ซึ่งถ้าหากร่างกายมีน้ำเพียงพอก็สามารถกำจัดของเสียเหล่านี้ออกมาได้มาก
น้ำช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
น้ำสามารถช่วยไม่ให้ท้องผูก หากร่างกายได้รับน้ำน้อย ทำให้ขับถ่ายลำบาก ซึ่งทำให้เกิดท้องผูก แต่สามารถช่วยให้หายได้ โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ
ได้มีการค้นพบว่าน้ำมีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์หากได้รับน้ำไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการเผาผลาญไขมันที่สะสม หากร่างกายเก็บน้ำไว้มากจะดูได้จากการที่มีน้ำหนักเกิน แต่แก้ไขได้โดยการดื่มน้ำเพิ่มขึ้น การดื่มน้ำมากขึ้นจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะพอ?
โดยเฉพาะควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นอีก และจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหากคนๆ นั้น ชอบออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ๆมีอาการร้อน หรือแห้ง น้ำเย็นจะถูกดูดซึมในร่างกายได้เร็วกว่าน้ำอุ่น บางหลักฐานแนะนำว่า การดื่มน้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญแคลลอรี่ ในการที่จะใช้ประโยชน์จากการดื่มน้ำเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดควรปฏิบัติ ดังนี้
เช้า ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุก ๆครึ่งชั่วโมง
บ่าย ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุก ๆครึ่งชั่วโมง
เย็น ดื่มน้ำหนึ่งควอต ระหว่างเวลา 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม
เมื่อร่างกายได้รับน้ำ มันจะต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ร่างกายจำเป็นต้องรักษาระดับของของเหลวให้สมดุลย์ไว้ ซึ่งเรียกว่า breakthrough Point ซึ่งหมายถึง ต่อมเอ็นโดซีนจะสามารถทำงานได้ดีขึ้น เมื่อการรักษาระดับของเหลวในร่างกายเบาบางลงเนื้องจากสูญเสียน้ำ ไขมันจำนวนมากจะถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง
เนื่องจากตับมีอิสระในการทำหน้าที่เผาผลาญไขมันที่สะสม ทำให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ รู้สึกหิวตลอดเวลา หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดการขาดความสมดุลย์ในการรักษาระดับของเหลวในร่างกาย ซึ่งจะทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร เพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติคุณจะต้องดื่มน้ำจำนวนมากขึ้น
ถนอม
fwdmail
1. ครอบดวงตา ด้วยการโค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สักประมาณ 10นาที
2. ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่แล้ว สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใส มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวย เห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจน สายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี
3. กวาดสายตา มองแบบไม่ต้องจ้อง เพราะคนที่สายตาสั้นมักจะจ้องและเขม้นตา กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง ทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย
4. กะพริบตา ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำเหลืองหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น
5. โฟกัสภาพที่ใกล้และไกล เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกันตั้งนิ้วชี้มือขวา ให้ห่างจากใบหน้า สัก 3 นิ้ว โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อย ๆ เมื่อโอกาสอำนวย
6. หลังตื่นนอนทุกเช้าให้ใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่นสัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การวักน้ำเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อดวงตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้กวักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน
7. แกว่งตัว ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวา ถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกลๆ แต่ไม่ต้องจ้อง ปล่อยให้จุดที่เรามอง แกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัว ท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พัก และมีการปรับตัวดีขึ้น ทำบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้
โดย พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลป
1. ครอบดวงตา ด้วยการโค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สักประมาณ 10นาที
2. ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่แล้ว สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใส มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวย เห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจน สายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี
3. กวาดสายตา มองแบบไม่ต้องจ้อง เพราะคนที่สายตาสั้นมักจะจ้องและเขม้นตา กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง ทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย
4. กะพริบตา ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำเหลืองหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น
5. โฟกัสภาพที่ใกล้และไกล เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกันตั้งนิ้วชี้มือขวา ให้ห่างจากใบหน้า สัก 3 นิ้ว โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อย ๆ เมื่อโอกาสอำนวย
6. หลังตื่นนอนทุกเช้าให้ใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่นสัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การวักน้ำเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อดวงตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้กวักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน
7. แกว่งตัว ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวา ถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกลๆ แต่ไม่ต้องจ้อง ปล่อยให้จุดที่เรามอง แกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัว ท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พัก และมีการปรับตัวดีขึ้น ทำบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้
โดย พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลป
ถุง
มติชน
รณรงค์กันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการใช้ "ถุงยางอนามัย" เพื่อชีวิตรักที่ปลอดภัย แต่แม้จะมีการพูดถึงเรื่องนี้ค่อนข้างมาก แต่ก็เชื่อว่ามี "ผู้หญิง" หลายคนไม่รู้จักกับถุงยางอนามัยที่แท้จริง
นิตยสารสารฉบับล่าสุดเห็นความสำคัญจึงสอดแทรกคู่มือเล่มน้อยสีสันสดใส เรื่อง "12 ความจริงเกี่ยวกับถุงยางอนามัย ความปลอดภัยที่ผู้หญิงเลือกได้ด้วยตัวเอง" เนื้อหาในคู่มือกะทัดรัด เป็นการ "ไขข้อข้องใจ" เกี่ยวกับการความเชื่อของผู้หญิงในการใช้ถุงยางอนามัยต่างๆ เช่น "คนสำส่อน เท่านั้นที่ต้องใช้ถุงยาง" อย่าคิดแบบนั้นเด็ดขาด เพราะปัจจุบันตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าตัวเลขของภรรยาและวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 20
หรือ "ถุงยางอนามัยทำให้ขัดจังหวะ แถมบั่นทอนรสสัมผัสทางเพศ ทำให้เขารู้สึกไม่เป็นหนึ่งเดียวกับฉันอย่างสมบูรณ์" ซึ่งแท้จริงนั่นเรื่องความต้องการทางเพศสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอารมณ์และสถานการณ์ บางวันอาจมีความรู้สึกน้อยกว่าคู่หรือไม่มีเลย ซึ่งหากไม่มีการสื่อสารกันอาจเกิดความคับข้องใจได้
ส่วนสาวใดที่คิดว่า "เป็นผู้หญิงนะ ไม่กล้าซื้อ ไม่กล้าพกหรอก ถุงยางเนี่ย...อาย" ผู้หญิงควรถามตัวเองว่า ถุงยางหมายถึงอะไร ซึ่งชื่อ "ถุงยางอนามัย" ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าสามารถเป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันไม่ให้ท้อง หรือไม่ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รวมทั้งเชื้อเอชไอวีด้วย ดังนั้น ผู้หญิงวันนี้รักใครแค่ไหน ก็ขอให้รักตัวเองด้วย
"ความปลอดภัย" คุณเท่านั้นที่เลือกได้
รณรงค์กันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการใช้ "ถุงยางอนามัย" เพื่อชีวิตรักที่ปลอดภัย แต่แม้จะมีการพูดถึงเรื่องนี้ค่อนข้างมาก แต่ก็เชื่อว่ามี "ผู้หญิง" หลายคนไม่รู้จักกับถุงยางอนามัยที่แท้จริง
นิตยสารสารฉบับล่าสุดเห็นความสำคัญจึงสอดแทรกคู่มือเล่มน้อยสีสันสดใส เรื่อง "12 ความจริงเกี่ยวกับถุงยางอนามัย ความปลอดภัยที่ผู้หญิงเลือกได้ด้วยตัวเอง" เนื้อหาในคู่มือกะทัดรัด เป็นการ "ไขข้อข้องใจ" เกี่ยวกับการความเชื่อของผู้หญิงในการใช้ถุงยางอนามัยต่างๆ เช่น "คนสำส่อน เท่านั้นที่ต้องใช้ถุงยาง" อย่าคิดแบบนั้นเด็ดขาด เพราะปัจจุบันตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าตัวเลขของภรรยาและวัยรุ่นที่ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 20
หรือ "ถุงยางอนามัยทำให้ขัดจังหวะ แถมบั่นทอนรสสัมผัสทางเพศ ทำให้เขารู้สึกไม่เป็นหนึ่งเดียวกับฉันอย่างสมบูรณ์" ซึ่งแท้จริงนั่นเรื่องความต้องการทางเพศสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอารมณ์และสถานการณ์ บางวันอาจมีความรู้สึกน้อยกว่าคู่หรือไม่มีเลย ซึ่งหากไม่มีการสื่อสารกันอาจเกิดความคับข้องใจได้
ส่วนสาวใดที่คิดว่า "เป็นผู้หญิงนะ ไม่กล้าซื้อ ไม่กล้าพกหรอก ถุงยางเนี่ย...อาย" ผู้หญิงควรถามตัวเองว่า ถุงยางหมายถึงอะไร ซึ่งชื่อ "ถุงยางอนามัย" ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าสามารถเป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันไม่ให้ท้อง หรือไม่ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์รวมทั้งเชื้อเอชไอวีด้วย ดังนั้น ผู้หญิงวันนี้รักใครแค่ไหน ก็ขอให้รักตัวเองด้วย
"ความปลอดภัย" คุณเท่านั้นที่เลือกได้
ข้อคิดดีๆ ของการเป็นมนุษย์
fwdmail
คนสำคัญที่แท้จริง
“...ความสามัคคีเป็นสิ่งที่ดี เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่บางคนกลับมีความสนุกและดีใจ ถ้าได้เห็นครอบครัวใด หมู่ใด สังคมใด ทะเลาะวิวาทและแตกสามัคคีกัน แทนที่จะหาทางระงับและช่วยสมานความสามัคคี เขากลับยุยงส่งเสริมให้เกิดมีการแบ่งพรรคแยกพวกขึ้น ให้คนเห็นว่า ตนเป็นคนสำคัญ แท้จริงแล้วเขามีค่าเพียงถ่านไฟเท่านั้น ธรรมดาถ่านไฟเมื่อยังร้อนอยู่ ใครเอามือจับมือก็พอง ถึงไม่มีไฟ เอามือจับเข้าก็เปื้อนมือ คนที่จะเป็นคนสำคัญจริงๆ นั้น ย่อมมีอัธยาศัยที่ยิ่งใหญ่ บูชาสามัคคีธรรม ไม่ส่งเสริมการแตกสามัคคีและหาทางสมานสามัคคี เห็นทุกคนเป็นเสมือนดังญาติพี่น้องร่วมสายโลหิต ไม่คิดแบ่งพรรคแยกพวกและมีอิสระแก่ตน ไม่ตกเป็นทาสอยู่ภายใต้อำนาจกิเลสตัวร้าย ไม่ยอมให้มันกดหัว ขี่คอ ข่มเหง และสั่งการให้ตนทำสิ่งชั่วร้ายบาปกรรมต่างๆ ที่จะทำให้ตนและคนอื่นได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ซึ่งวิญญูชนทั้งหลายไม่สรรเสริญเลย แต่พยายามยกระดับจิตใจให้อยู่เหนืออำนาจใฝ่ต่ำ คือ พยายามละบาปชั่วทั้งหลายแล้วตั้งใจทำบุญกุศลต่างๆ เนืองนิตย์ และชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด ดังนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นคนสำคัญที่แท้จริง...
ทำความดีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
“...ความริษยา การนินทา การใส่ร้าย มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ แต่เป็นงานของคนมีปมด้อย และจิตใจอ่อนแอ ผู้ที่มีจิตใจสูงและมั่นคงในคุณธรรม จะไม่มีลักษณะดังกล่าว แต่จะมีความหนักแน่นและยุติธรรมในสิ่งทั้งปวง จะคิดจะพูดและจะทำอะไรก็ประกอบด้วยเมตตาปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง
ความลับไม่มีในโลก แม้จะเป็นความคิด คำพูด หรือการกระทำในที่ลับหลัง ไม่มีใครรู้เห็น ไม่ว่าในเรื่องชั่วหรือเรื่องดี ก็จะมีคนรู้หรือปรากฏออกมาเองสักวันจนได้ พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้สำรวมระวัง มิให้ทำความชั่วทั้งไตรทวาร และทรงสอนให้ทำความดีทั้งไตรทวาร ไม่ว่าจะเป็นในที่ลับหรือในที่แจ้ง...
พึงรับฟังคำแนะนำตักเตือน
“...ทุกคนชอบและอยากให้คนชมสรรเสริญ ไม่ชอบและไม่อยากให้ใครตำหนิ แม้ว่าตนจะทำผิดก็ไม่ชอบให้ใครมาแนะนำตักเตือนการติเพื่อก่อ และคำแนะนำตักเตือนไม่เคยทำให้ใครเสียหาย แต่คำชมเชยสรรเสริญเยินยอต่างหาก ที่ทำให้ใครต่อใครเสียผู้เสียคนมามากแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นโลกธรรมที่มีอยู่คู่กับโลกมานานแล้วในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน คำสรรเสริญเยินยอนั้นเปรียบเหมือนน้ำหอมที่อาบศพ จะหอมอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ส่วนคำติเตียนนินทาเปรียบเสมือนกลิ่นเหม็นที่โชยมาตามลมแล้วก็ผ่านไป จึงไม่ควรหลงใหลในคำสรรเสริญเยินยอ และไม่ควรสยบซบเซาเพราะคำติเตียนนินทา ถึงแม้ทำสิ่งไม่ดี ถ้าหากถูกใจเขา เขาก็สรรเสริญเยินยอได้ ถึงแม้จะทำดี ถ้าหากไม่ชอบใจ เขาก็ติเตียนเอาได้ หลักการพิจารณา ถ้าหากเป็นคนพาล สรรเสริญหรือนินทา อย่าไปสนใจ แต่ถ้าหากวิญญูชนผู้ทรงศีลธรรมสรรเสริญหรือแนะนำตักเตือนแล้ว พึงรับไว้พิจารณาเถิด ไม่มีความเสื่อมเสีย มีแต่ความเจริญถ่ายเดียว...”
คนสำคัญที่แท้จริง
“...ความสามัคคีเป็นสิ่งที่ดี เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่บางคนกลับมีความสนุกและดีใจ ถ้าได้เห็นครอบครัวใด หมู่ใด สังคมใด ทะเลาะวิวาทและแตกสามัคคีกัน แทนที่จะหาทางระงับและช่วยสมานความสามัคคี เขากลับยุยงส่งเสริมให้เกิดมีการแบ่งพรรคแยกพวกขึ้น ให้คนเห็นว่า ตนเป็นคนสำคัญ แท้จริงแล้วเขามีค่าเพียงถ่านไฟเท่านั้น ธรรมดาถ่านไฟเมื่อยังร้อนอยู่ ใครเอามือจับมือก็พอง ถึงไม่มีไฟ เอามือจับเข้าก็เปื้อนมือ คนที่จะเป็นคนสำคัญจริงๆ นั้น ย่อมมีอัธยาศัยที่ยิ่งใหญ่ บูชาสามัคคีธรรม ไม่ส่งเสริมการแตกสามัคคีและหาทางสมานสามัคคี เห็นทุกคนเป็นเสมือนดังญาติพี่น้องร่วมสายโลหิต ไม่คิดแบ่งพรรคแยกพวกและมีอิสระแก่ตน ไม่ตกเป็นทาสอยู่ภายใต้อำนาจกิเลสตัวร้าย ไม่ยอมให้มันกดหัว ขี่คอ ข่มเหง และสั่งการให้ตนทำสิ่งชั่วร้ายบาปกรรมต่างๆ ที่จะทำให้ตนและคนอื่นได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ซึ่งวิญญูชนทั้งหลายไม่สรรเสริญเลย แต่พยายามยกระดับจิตใจให้อยู่เหนืออำนาจใฝ่ต่ำ คือ พยายามละบาปชั่วทั้งหลายแล้วตั้งใจทำบุญกุศลต่างๆ เนืองนิตย์ และชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด ดังนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นคนสำคัญที่แท้จริง...
ทำความดีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
“...ความริษยา การนินทา การใส่ร้าย มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ แต่เป็นงานของคนมีปมด้อย และจิตใจอ่อนแอ ผู้ที่มีจิตใจสูงและมั่นคงในคุณธรรม จะไม่มีลักษณะดังกล่าว แต่จะมีความหนักแน่นและยุติธรรมในสิ่งทั้งปวง จะคิดจะพูดและจะทำอะไรก็ประกอบด้วยเมตตาปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง
ความลับไม่มีในโลก แม้จะเป็นความคิด คำพูด หรือการกระทำในที่ลับหลัง ไม่มีใครรู้เห็น ไม่ว่าในเรื่องชั่วหรือเรื่องดี ก็จะมีคนรู้หรือปรากฏออกมาเองสักวันจนได้ พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้สำรวมระวัง มิให้ทำความชั่วทั้งไตรทวาร และทรงสอนให้ทำความดีทั้งไตรทวาร ไม่ว่าจะเป็นในที่ลับหรือในที่แจ้ง...
พึงรับฟังคำแนะนำตักเตือน
“...ทุกคนชอบและอยากให้คนชมสรรเสริญ ไม่ชอบและไม่อยากให้ใครตำหนิ แม้ว่าตนจะทำผิดก็ไม่ชอบให้ใครมาแนะนำตักเตือนการติเพื่อก่อ และคำแนะนำตักเตือนไม่เคยทำให้ใครเสียหาย แต่คำชมเชยสรรเสริญเยินยอต่างหาก ที่ทำให้ใครต่อใครเสียผู้เสียคนมามากแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นโลกธรรมที่มีอยู่คู่กับโลกมานานแล้วในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน คำสรรเสริญเยินยอนั้นเปรียบเหมือนน้ำหอมที่อาบศพ จะหอมอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ส่วนคำติเตียนนินทาเปรียบเสมือนกลิ่นเหม็นที่โชยมาตามลมแล้วก็ผ่านไป จึงไม่ควรหลงใหลในคำสรรเสริญเยินยอ และไม่ควรสยบซบเซาเพราะคำติเตียนนินทา ถึงแม้ทำสิ่งไม่ดี ถ้าหากถูกใจเขา เขาก็สรรเสริญเยินยอได้ ถึงแม้จะทำดี ถ้าหากไม่ชอบใจ เขาก็ติเตียนเอาได้ หลักการพิจารณา ถ้าหากเป็นคนพาล สรรเสริญหรือนินทา อย่าไปสนใจ แต่ถ้าหากวิญญูชนผู้ทรงศีลธรรมสรรเสริญหรือแนะนำตักเตือนแล้ว พึงรับไว้พิจารณาเถิด ไม่มีความเสื่อมเสีย มีแต่ความเจริญถ่ายเดียว...”
ของคุณใหญ่และมีคุณภาพแค่ไหน?
fwdmail
1.มีขนาดใหญ่กว่าความกว้างฝ่ามือ
2.มีขนาดไล่เลี่ยกับขนาดความยาวของฝ่ามือ
3.เมื่อกำมือให้แน่น มักจะใหญ่เกินมือนั้นนิดหน่อย
4.ขนาดของสิ่งนั้น มักจะไม่แปรผันตามตัวเจ้าของเสมอไป บางคนตัวใหญ่ แต่...เล็ก บางคนตัวเล็ก แต่....นั้นใหญ่
5.เมื่อถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้า จะเกิดอาการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
6.เมื่อสิ่งเร้าเข้ามารุกแบบหนักหน่วง จะเก็บอาการไว้ไม่ได้ คนรอบข้างจะสังเกตเห็นได้ชัด
7.มีน้ำคอยหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา และน้ำที่ว่าจะผ่านเข้า -ออก อยู่เป็นประจำ
8.ชอบเอาสิ่งที่ว่านี้ไป "ใส่"อยู่กับคนอื่นอยู่เสมอๆ
9.คนรอบข้างที่ถูกสิ่งนั้น "ใส่" จะรู้สึกอาการชื่นชอบและต้องการถูก "ใส่" อยู่ซ้ำๆจนไม่อยากเลิก
10.สิ่งที่ว่านั้นไม่สามารถเปิดเผยในที่สาธารณชนได้
11.หลายคนยอมตายเพื่อจะได้เอาสิ่งนั้นมา "ใส่" ไว้กับตัวเอง
12.หลายคนต้องตาย เพราะเอาสิ่งนั้นมา "ใส่"ไว้มากเกินไป
13.แต่สุดท้ายจะมีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้เป็นเจ้าของสิ่งๆ นั้นและจะถูกมัน "ใส่" แต่เพียงผู้เดียว
สิ่งนั้นคือ ..........."หัวใจ" ไงล่ะคะ .. หืมมมม ?? ไม่ได้แอบคิดลึกใช่ป่ะ หุหุหุ
..........วันนี้คุณได้ "ใส่ใจ" ให้กับคนที่คุณรัก และ รักคุณหรือยัง :)
1.มีขนาดใหญ่กว่าความกว้างฝ่ามือ
2.มีขนาดไล่เลี่ยกับขนาดความยาวของฝ่ามือ
3.เมื่อกำมือให้แน่น มักจะใหญ่เกินมือนั้นนิดหน่อย
4.ขนาดของสิ่งนั้น มักจะไม่แปรผันตามตัวเจ้าของเสมอไป บางคนตัวใหญ่ แต่...เล็ก บางคนตัวเล็ก แต่....นั้นใหญ่
5.เมื่อถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้า จะเกิดอาการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
6.เมื่อสิ่งเร้าเข้ามารุกแบบหนักหน่วง จะเก็บอาการไว้ไม่ได้ คนรอบข้างจะสังเกตเห็นได้ชัด
7.มีน้ำคอยหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา และน้ำที่ว่าจะผ่านเข้า -ออก อยู่เป็นประจำ
8.ชอบเอาสิ่งที่ว่านี้ไป "ใส่"อยู่กับคนอื่นอยู่เสมอๆ
9.คนรอบข้างที่ถูกสิ่งนั้น "ใส่" จะรู้สึกอาการชื่นชอบและต้องการถูก "ใส่" อยู่ซ้ำๆจนไม่อยากเลิก
10.สิ่งที่ว่านั้นไม่สามารถเปิดเผยในที่สาธารณชนได้
11.หลายคนยอมตายเพื่อจะได้เอาสิ่งนั้นมา "ใส่" ไว้กับตัวเอง
12.หลายคนต้องตาย เพราะเอาสิ่งนั้นมา "ใส่"ไว้มากเกินไป
13.แต่สุดท้ายจะมีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้เป็นเจ้าของสิ่งๆ นั้นและจะถูกมัน "ใส่" แต่เพียงผู้เดียว
สิ่งนั้นคือ ..........."หัวใจ" ไงล่ะคะ .. หืมมมม ?? ไม่ได้แอบคิดลึกใช่ป่ะ หุหุหุ
..........วันนี้คุณได้ "ใส่ใจ" ให้กับคนที่คุณรัก และ รักคุณหรือยัง :)
สัตว์เลี้ยงแสนรัก
fwdmail
ชายหนุ่มไปหาซื้อสัตว์เลี้ยง
"สุนัขเป็นไงครับคุณ ช่วยเฝ้าบ้านให้ได้ด้วย" คนขายแนะนำ
"ไม่เอาล่ะ มันเห่าเสียงดังน่ารำคาญ"
"ถ้างั้นก็เลี้ยงแมวสิ เอาใจเก่ง ร้องเสียงไม่ดังมาก"
"ไม่เอาล่ะ มันช่วยงานบ้านไม่ได้"
"ถ้าจะให้ช่วยงานบ้าน ต้องนี่ครับ กิ้งกือนี่ดีที่สุด" คนขายแนะนำ
ชายหนุ่มดูการสาธิตการทำงาน สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อกิ้งกือกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน ชายหนุ่มก็สั่ง
"เอาล่ะเจ้ากิ้งกือ ไปทำความสะอาดครัวเดี๋ยวนี้"
แค่ครึ่งชั่วโมงห้องครัวก็สะอาดสะอ้านเหมือนใหม่
"ต่อไปก็ทำความสะอาดห้องรับแขก"
ยี่สิบนาที ห้องที่สุดแสนสกปรกของชายหนุ่มก็เป็นระเบียบเรียบร้อย
"เอาล่ะ ไปเอาหนังสือพิมพ์ในตู้หน้าบ้านมา แล้ววันนี้ก็พักผ่อนได้"
ชายหนุ่มมอบหมายงานสุดท้าย
กิ้งกือคลานหายไปที่ประตู
10 นาทีผ่านไป กิ้งกือหายเงียบไม่กลับมา
20 นาที กิ้งกือก็ยังไม่กลับ
30 นาที ก็ยังเงียบอยู่
ชายหนุ่มตะโกนลั่น
"เฮ้ย! เจ้ากิ้งกือ หนังสือพิมพ์ได้หรือยัง"
"ยังครับ ยังใส่รองเท้าไม่เสร็จเลยครับ"
ชายหนุ่มไปหาซื้อสัตว์เลี้ยง
"สุนัขเป็นไงครับคุณ ช่วยเฝ้าบ้านให้ได้ด้วย" คนขายแนะนำ
"ไม่เอาล่ะ มันเห่าเสียงดังน่ารำคาญ"
"ถ้างั้นก็เลี้ยงแมวสิ เอาใจเก่ง ร้องเสียงไม่ดังมาก"
"ไม่เอาล่ะ มันช่วยงานบ้านไม่ได้"
"ถ้าจะให้ช่วยงานบ้าน ต้องนี่ครับ กิ้งกือนี่ดีที่สุด" คนขายแนะนำ
ชายหนุ่มดูการสาธิตการทำงาน สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อกิ้งกือกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน ชายหนุ่มก็สั่ง
"เอาล่ะเจ้ากิ้งกือ ไปทำความสะอาดครัวเดี๋ยวนี้"
แค่ครึ่งชั่วโมงห้องครัวก็สะอาดสะอ้านเหมือนใหม่
"ต่อไปก็ทำความสะอาดห้องรับแขก"
ยี่สิบนาที ห้องที่สุดแสนสกปรกของชายหนุ่มก็เป็นระเบียบเรียบร้อย
"เอาล่ะ ไปเอาหนังสือพิมพ์ในตู้หน้าบ้านมา แล้ววันนี้ก็พักผ่อนได้"
ชายหนุ่มมอบหมายงานสุดท้าย
กิ้งกือคลานหายไปที่ประตู
10 นาทีผ่านไป กิ้งกือหายเงียบไม่กลับมา
20 นาที กิ้งกือก็ยังไม่กลับ
30 นาที ก็ยังเงียบอยู่
ชายหนุ่มตะโกนลั่น
"เฮ้ย! เจ้ากิ้งกือ หนังสือพิมพ์ได้หรือยัง"
"ยังครับ ยังใส่รองเท้าไม่เสร็จเลยครับ"
แม่นจริงๆ
fwdmail
ระหว่างที่นั่งรอรถเมล์อยู่ หญิงคนหนึ่งก็หันไปเห็นเครื่องชั่งน้ำหนัก ซึ่งมีป้ายโฆษณาว่าชั่งน้ำหนัก พร้อมทำนายอนาคต โดยหยอดเหรียญเพียง 25 เซ็นต์ เธอจึงหยดเหรียญและขึ้นไปชั่ง
เครื่องพิมพ์ผลออกมาว่า "คุณอายุ 32 ปี น้ำหนัก 135 ปอนด์ และมีฝีมือในการสีซอ"
เครื่องทำนายเรื่องอายุได้ถูกต้อง แต่เธอสีซอไม่เป็นสักหน่อย เครื่องคงทำนายผิด
ระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งเดินถือซอผ่านมา เธอขอยืมซอเขาเล่น และน่าประหลาดใจที่เธอสีซอได้ อย่างวิเศษ
หญิงสาวแปลกใจที่เครื่องชั่งทำนายเธอได้ถูกต้องในเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน เธอตัดสินใจชั่ง น้ำหนักอีกครั้ง
เครื่องพิมพ์ผลออกมาว่า "คุณอายุ 32 ปี น้ำหนัก 135 ปอนด์ และเป็นโรค กระเพาะ"
เหลวไหลสิ้นดี เธอแข็งแรงไม่เคยเป็นโรคอะไร เธอจึงเดินกลับไปรอรถเมล์ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึก ปวดท้องกระทันหันอยู่ครู่หนึ่ง และหายปวดท้องเมื่อเธอ ผายลมออกมาป้าดใหญ่
หญิงสาวแปลกใจที่เครื่องชั่งทำนายเธอได้ถูกต้องอีกครั้ง เธอตัดสินใจ กลับไปชั่งน้ำหนักอีก
เครื่องพิมพ์ผลออกมาว่า "คุณอายุ 32 ปี น้ำหนัก 135 ปอนด์ และคุณกำลังจะมีประสบการณ์ ทางเพศที่ตื่นเต้น"
เธอหัวเราะ ครั้งนี้เครื่องทำนายผิดแน่ๆ เพราะเธอพยายามล่อตะเข้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ไม่มีตะเข้ตัวไหนมาตกหลุมเสน่ห์สักตัว
เธอนั่งรอรถเมล์ต่อไป สักครู่หนึ่งมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมานั่งใกล้ๆ เธอ โดยไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาว และเด็กหนุ่มก็หันมาสบตากันเข้าอย่างบังเอิญ
และแล้ว กามเทพก็เล่นกล หญิงสาวและเด็กหนุ่มพากัน หลบเข้าไปมีความสัมพันธ์กันในมุมมืด
ผ่านประสบการณ์ที่ตื่นเต้น หญิงสาวตัดสินใจชั่งน้ำหนักอีกครั้ง
เครื่องพิมพ์ผลออกมาว่า "คุณอายุ 32 ปี น้ำหนัก 135 ปอนด์ ชั่วโมงที่ผ่านมา คุณได้สีซอ ผายลม และได้ฟันเด็กหนุ่ม และเสียใจที่ตอนนี้รถเมล์คันสุดท้ายผ่านไปแล้ว"
ระหว่างที่นั่งรอรถเมล์อยู่ หญิงคนหนึ่งก็หันไปเห็นเครื่องชั่งน้ำหนัก ซึ่งมีป้ายโฆษณาว่าชั่งน้ำหนัก พร้อมทำนายอนาคต โดยหยอดเหรียญเพียง 25 เซ็นต์ เธอจึงหยดเหรียญและขึ้นไปชั่ง
เครื่องพิมพ์ผลออกมาว่า "คุณอายุ 32 ปี น้ำหนัก 135 ปอนด์ และมีฝีมือในการสีซอ"
เครื่องทำนายเรื่องอายุได้ถูกต้อง แต่เธอสีซอไม่เป็นสักหน่อย เครื่องคงทำนายผิด
ระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งเดินถือซอผ่านมา เธอขอยืมซอเขาเล่น และน่าประหลาดใจที่เธอสีซอได้ อย่างวิเศษ
หญิงสาวแปลกใจที่เครื่องชั่งทำนายเธอได้ถูกต้องในเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน เธอตัดสินใจชั่ง น้ำหนักอีกครั้ง
เครื่องพิมพ์ผลออกมาว่า "คุณอายุ 32 ปี น้ำหนัก 135 ปอนด์ และเป็นโรค กระเพาะ"
เหลวไหลสิ้นดี เธอแข็งแรงไม่เคยเป็นโรคอะไร เธอจึงเดินกลับไปรอรถเมล์ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึก ปวดท้องกระทันหันอยู่ครู่หนึ่ง และหายปวดท้องเมื่อเธอ ผายลมออกมาป้าดใหญ่
หญิงสาวแปลกใจที่เครื่องชั่งทำนายเธอได้ถูกต้องอีกครั้ง เธอตัดสินใจ กลับไปชั่งน้ำหนักอีก
เครื่องพิมพ์ผลออกมาว่า "คุณอายุ 32 ปี น้ำหนัก 135 ปอนด์ และคุณกำลังจะมีประสบการณ์ ทางเพศที่ตื่นเต้น"
เธอหัวเราะ ครั้งนี้เครื่องทำนายผิดแน่ๆ เพราะเธอพยายามล่อตะเข้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ไม่มีตะเข้ตัวไหนมาตกหลุมเสน่ห์สักตัว
เธอนั่งรอรถเมล์ต่อไป สักครู่หนึ่งมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมานั่งใกล้ๆ เธอ โดยไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาว และเด็กหนุ่มก็หันมาสบตากันเข้าอย่างบังเอิญ
และแล้ว กามเทพก็เล่นกล หญิงสาวและเด็กหนุ่มพากัน หลบเข้าไปมีความสัมพันธ์กันในมุมมืด
ผ่านประสบการณ์ที่ตื่นเต้น หญิงสาวตัดสินใจชั่งน้ำหนักอีกครั้ง
เครื่องพิมพ์ผลออกมาว่า "คุณอายุ 32 ปี น้ำหนัก 135 ปอนด์ ชั่วโมงที่ผ่านมา คุณได้สีซอ ผายลม และได้ฟันเด็กหนุ่ม และเสียใจที่ตอนนี้รถเมล์คันสุดท้ายผ่านไปแล้ว"
ทำไมผู้ชาย ไม่ค่อยโรแมนติก
ทำไมผู้ชาย ไม่ค่อยโรแมนติก
thairath
ผู้หญิงจะคิดอย่างไรน้า ถ้าผู้ชายจะ ยอมแอ่นอกบอก ถึงความลับส่วนลึก ของเขาว่า คิดอย่างไรบ้าง กับความรัก, ความใคร่, เซ็กซ์ และอารมณ์ รัญจวน ที่มีต่อเพศ ตรงข้ามให้ฟังอย่าง หมดเปลือกอย่าง ที่จะเจื้อยแจ้วเล่า ให้ฟัง ซึ่งแหงล่ะที่น้องหนู ย่อมสนใจ อยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ผู้ชาย ใกล้ตัว ให้มากที่สุด เท่าที่จะมาก ได้ใช่ไหมล้า
เหตุนี้วิธีนึงที่จะทำให้ฝ่ายหญิงรู้จักเพศตรงข้าม ให้มากขึ้น ก็ต้องล้วงคองูเห่า เอ้ย วัดใจเขาผ่านคำถาม 8 ประการที่เขาอยากให้สาวๆรู้ (8 Things he wants you to know) ดังต่อไปนี้
1. ถามว่า ผู้ชายมองความโรแมนติกว่ามีความสำคัญหรือเปล่า?
โอ๊ย จะให้หนุ่มๆเค้าแสดงอารมณ์โรแมนติกออก มาตรงๆน่ะเหรอ รอไปเหอะ ต่อให้เขาทำได้ และทำได้ดี ซะด้วย ก็ไม่มีใครอยากทำสิ่งเหล่านี้ออกมาโต้งๆหรอก จ้ะ เดี๋ยวจะดูไม่แม้น ไม่แมนอะไรเทือกนั้นละมั้ง
ในความคิดของผู้ชายน่ะ เรื่องโรแมนติกจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเขาอยู่กับคนรักเพียงลำพังสองต่อสอง เท่านั้น ชายมักมองความโรแมนติกเป็นช่วงเวลาส่วนตั๊ว ส่วนตัว ตรงข้ามกับผู้หญิงที่สามารถ แสดงความโรแมนติกได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง แถมผู้หญิงยังเห็นโอกาสมากมายที่จะโรแมนติก ซะด้วยสิ ก็โถ คุณเธอเป็นจอมเซ้นท์ซิทีฟนี่นะ แล้วเรื่องที่ต้อง เล่นกะอารมณ์อย่างงี้ มีรึที่ฝ่ายหญิงจะไม่รู้สึกรู้สมกะมันมากกว่ากันคิดดู
ส่วนผู้ชายจะไม่ค่อยพูดถึงหรือทำอะไรเกี่ยวกับ ความโรแมนติกมากนักหรอก นัยว่าเขาคงอยาก ทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วนข้อสงสัยที่ว่า อ้าวแล้ว ทำไมผู้ชายยังสามารถชวนสาว ไปหม่ำข้าวใต้แสงเทียน ได้ล่ะจ๊ะ เอ้าไม่รู้หรือไงว่า เพราะเขารู้อยู่แก่ใจน่ะสิว่า หลังจากจบ ดินเนอร์แล้ว อารมณ์เตลิดเปิดเปิงของผู้หญิง จะช่วยให้เขาหิ้วเธอขึ้นเตียงได้อีซี่ หรือง่ายกว่า นั่นเอง อ๋อมีความในใจแอบแฝงอย่างนี้นี่เอง
2. ผู้ชายคิดว่า พวกเขาเซ็กซี่ และมีเสน่ห์ ดึงดูดทางเพศหรือเปล่า?
ผู้ชายส่วนมากน่ะเป็นจอมทระนงล่ะจะบอกให้ หนุ่มๆชอบแกล้งถามว่า เขาใส่เสื้อผ้าชุดนี้แล้ว ดูดีไหม? แทนที่จะถามว่า เขาใส่แล้วเท่ระเบิดรึเปล่า? อย่างที่ใจ อยากถามซะเต็มประดา แต่ก็เงี้ยแหละนะ ขอรักษาฟอร์มให้ดูดีไว้ก่อน...ก็ไม่เสียหายอะไรนี่
ว่ากันว่า ผู้ชายเกือบทั้งหมดมักเชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งนั้นแหละว่า เขามีเสน่ห์ทางเพศ ต่อให้ใครคนนั้นหน้าตาเหลาเหย่หรือเห่ยเพียงใด เขาก็ยังอยากได้ยินแฟนชมว่าหล่อ ดูดีมีสง่าราศีทั้งนั้นแหละ เฮ้อ! งั้นอย่าลืมออเซาะฉอเลาะหนุ่มข้างๆของคุณบ้างละกัน ตอแหล...เอ๊ย มีจริตไว้ซะบ้าง บางครั้งก็ใช้ได้ผลนะ
3. ทำไมผู้ชายถึงขยันมีเรื่องชู้สาวจังนะ?
ไม่ใช่ฝ่ายชายเท่านั้นหรอกที่เจ้าชู้ เดี๋ยวนี้ผู้หญิง เองก็ใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะใช่มะ ว่าแต่ปริมาณการเปลี่ยน คู่ของผู้หญิงอาจทำสถิติได้น้อยกว่าผู้ชายเท่านั้น ถึงได้มีคำพูดให้ได้ยิน กันไงว่า คนหล่อชอบเปลี่ยนคู่ คนสวยชอบเปลี่ยนใจ...เอ๊ะรึว่าโลกนี้หาคนจริงใจไม่ได้ แล้ว ต๊ายตาย อย่ามองโลก ในแง่ร้ายอย่างงั้นสิจ๊ะ
แม้โลกนี้จะขมุกขมัว และเต็มไปด้วยความลับกับคำโกหก แต่เราก็ควรมองโลกด้วยความสดใส และเปี่ยมไปด้วยความหวังกันหน่อยเด้ อย่างน้อยช่วย มอบความจริงใจให้กันสักติ๊ดก็ยังดี
4. ถามว่า ผู้ชายให้ความสำคัญกับขนาดของหน้าอกผู้หญิงแค่ไหน?
ผู้หญิงที่มีขนาดของหน้าอกหน้าใจใหญ่โต มักปั่นหัวผู้ชายได้เสมอล่ะจ้ะน้อง
ทรวงอกขนาดใหญ่เหล่านี้มักกระตุ้นสัญชาตญาณ ของเพศผู้ว่า ผู้หญิงที่อวบอั๋น เต่งตึงน่ะ พร้อมเสมอแหละที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศง่ายจะตาย ก็พวกเธอออกจะยั่วยวนปานนี้นี่นา อู้หู ไม่รู้เป็นคำด่า (ว่าสาวทรงโตใจง่าย) หรือชม (ว่าสาวอวบอั๋นมีหุ่นน่าซุก) กันแน่ แต่ที่ชัวร์ๆ คำตอบของข้อนี้ก็คือ ทรวดทรงองค์เอว โดยเฉพาะหน้าอกของสาวๆน่ะมีผลต่อเพศชายแหงแก๋
เอ๊ะแต่ที่บอกอย่างนี้ไม่ได้หนับหนุนให้ผู้หญิงที่มีทรงเล็ก ต้องรีบกุลีกุจอไปผ่าตัดเสริมเต้าหรอกนะ เพราะถ้า “ขนาด” ของผู้หญิงมันใหญ่โตเทอะทะจนเข้าขั้นเว่อไปแล้วล่ะก็ บางทีอะไรที่ดูปลอมๆ อาจไม่เป็น ที่ต้องใจของคนที่ชอบของจริงก็ได้
5. ผู้ชายอ่อนไหวกับการแสดงออกทางเพศต่อหน้าคนอื่นจริงหรือ?
เอ้าไม่รู้หรือว่าการแสดงออกเป็นปัญหาสำหรับผู้ชายเสมอแหละ หนุ่มส่วนใหญ่แทนที่จะวางท่า เพื่อให้ผู้หญิงเกิดความประทับใจ แต่ปรากฏว่าถ้าเผอิญคนในกลุ่มเกิดพูดถึงรสนิยม ทางเพศขึ้นมาเมื่อไหร่ ผู้ชายนั่นแหละจะทำหน้าทำตาจนกลายเป็นกลุ่มที่ไม่น่าไว้วางใจ มากที่สุดขึ้นมาทันที ประมาณสายตาหื่น ออก อะไรเงียะนะ
จึงแม่นแล้วน้อง ว่าผู้ชายมีความอ่อนไหวง่ายจะตายพอพูดถึงเรื่องเซ็กซ์ขึ้นมา ซึ่งก็มีข้อดี อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่จะร้ายเสมอไป โดยเฉพาะในกรณีของคู่รัก เอ้าลองคิดดูนะ ถ้าฝ่ายหญิงอยากเร้าอารมณ์สามีก็ง่าย นิดเดียว แค่พูดให้เขาซาบซ่านแค่ว่า ชั้นหลงใหลร่างกาย คุณเหลือเกิน...แค่นี้สุดหล่อก็จะเริ่มควบคุมอารมณ์ ไม่อยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสียเวล่ำเวลา ปลุกเร้าอะไรกันให้ เยิ่นเย้อไงล่ะ
6. ผู้ชายกังวลเกี่ยวกับขนาดของ “น้องชาย” ของเขานักหรือ?
ผู้ชายมากมายคิดทั้งนั้นแหละว่า ขนาดของน้องชายของเขาพอเหมาะพอดีแล้วหรือยัง? และถ้ามี ช่องทางอื่นใดอีกหรือเปล่าที่ช่วยทำให้ใหญ่เบิ้มได้อีก โอ้โห ถ้าไม่เรียกว่ากังวลแล้ว จะเรียกว่าอะไรละเนี่ย
7. ทำไมผู้ชายจึงชอบออรัลเซ็กซ์? ก็เพราะมันให้ความเพลิดเพลินเจริญใจกะเค้าน่ะซี้ถามด้าย....
สุดท้าย 8. อะไรที่ทำให้ผู้หญิงเป็นคู่รักที่ดีที่สุดของเขาได้ล่ะ?
หนุ่มๆเค้าก็มีความคาดหวังเหมือนสาวๆเกี่ยวกับเรื่องแฟนเหมือนกันนั่นแหละ เช่น อยากมีแฟนเป็นสาวหวาน รู้จักปรนนิบัติเอาใจใส่ และ ถ้าเผื่อรักเขาอย่างจริงจังด้วยล่ะก็ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่วิเศษสุดเลยเชียวล่ะ
thairath
ผู้หญิงจะคิดอย่างไรน้า ถ้าผู้ชายจะ ยอมแอ่นอกบอก ถึงความลับส่วนลึก ของเขาว่า คิดอย่างไรบ้าง กับความรัก, ความใคร่, เซ็กซ์ และอารมณ์ รัญจวน ที่มีต่อเพศ ตรงข้ามให้ฟังอย่าง หมดเปลือกอย่าง ที่จะเจื้อยแจ้วเล่า ให้ฟัง ซึ่งแหงล่ะที่น้องหนู ย่อมสนใจ อยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ผู้ชาย ใกล้ตัว ให้มากที่สุด เท่าที่จะมาก ได้ใช่ไหมล้า
เหตุนี้วิธีนึงที่จะทำให้ฝ่ายหญิงรู้จักเพศตรงข้าม ให้มากขึ้น ก็ต้องล้วงคองูเห่า เอ้ย วัดใจเขาผ่านคำถาม 8 ประการที่เขาอยากให้สาวๆรู้ (8 Things he wants you to know) ดังต่อไปนี้
1. ถามว่า ผู้ชายมองความโรแมนติกว่ามีความสำคัญหรือเปล่า?
โอ๊ย จะให้หนุ่มๆเค้าแสดงอารมณ์โรแมนติกออก มาตรงๆน่ะเหรอ รอไปเหอะ ต่อให้เขาทำได้ และทำได้ดี ซะด้วย ก็ไม่มีใครอยากทำสิ่งเหล่านี้ออกมาโต้งๆหรอก จ้ะ เดี๋ยวจะดูไม่แม้น ไม่แมนอะไรเทือกนั้นละมั้ง
ในความคิดของผู้ชายน่ะ เรื่องโรแมนติกจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเขาอยู่กับคนรักเพียงลำพังสองต่อสอง เท่านั้น ชายมักมองความโรแมนติกเป็นช่วงเวลาส่วนตั๊ว ส่วนตัว ตรงข้ามกับผู้หญิงที่สามารถ แสดงความโรแมนติกได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง แถมผู้หญิงยังเห็นโอกาสมากมายที่จะโรแมนติก ซะด้วยสิ ก็โถ คุณเธอเป็นจอมเซ้นท์ซิทีฟนี่นะ แล้วเรื่องที่ต้อง เล่นกะอารมณ์อย่างงี้ มีรึที่ฝ่ายหญิงจะไม่รู้สึกรู้สมกะมันมากกว่ากันคิดดู
ส่วนผู้ชายจะไม่ค่อยพูดถึงหรือทำอะไรเกี่ยวกับ ความโรแมนติกมากนักหรอก นัยว่าเขาคงอยาก ทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วนข้อสงสัยที่ว่า อ้าวแล้ว ทำไมผู้ชายยังสามารถชวนสาว ไปหม่ำข้าวใต้แสงเทียน ได้ล่ะจ๊ะ เอ้าไม่รู้หรือไงว่า เพราะเขารู้อยู่แก่ใจน่ะสิว่า หลังจากจบ ดินเนอร์แล้ว อารมณ์เตลิดเปิดเปิงของผู้หญิง จะช่วยให้เขาหิ้วเธอขึ้นเตียงได้อีซี่ หรือง่ายกว่า นั่นเอง อ๋อมีความในใจแอบแฝงอย่างนี้นี่เอง
2. ผู้ชายคิดว่า พวกเขาเซ็กซี่ และมีเสน่ห์ ดึงดูดทางเพศหรือเปล่า?
ผู้ชายส่วนมากน่ะเป็นจอมทระนงล่ะจะบอกให้ หนุ่มๆชอบแกล้งถามว่า เขาใส่เสื้อผ้าชุดนี้แล้ว ดูดีไหม? แทนที่จะถามว่า เขาใส่แล้วเท่ระเบิดรึเปล่า? อย่างที่ใจ อยากถามซะเต็มประดา แต่ก็เงี้ยแหละนะ ขอรักษาฟอร์มให้ดูดีไว้ก่อน...ก็ไม่เสียหายอะไรนี่
ว่ากันว่า ผู้ชายเกือบทั้งหมดมักเชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งนั้นแหละว่า เขามีเสน่ห์ทางเพศ ต่อให้ใครคนนั้นหน้าตาเหลาเหย่หรือเห่ยเพียงใด เขาก็ยังอยากได้ยินแฟนชมว่าหล่อ ดูดีมีสง่าราศีทั้งนั้นแหละ เฮ้อ! งั้นอย่าลืมออเซาะฉอเลาะหนุ่มข้างๆของคุณบ้างละกัน ตอแหล...เอ๊ย มีจริตไว้ซะบ้าง บางครั้งก็ใช้ได้ผลนะ
3. ทำไมผู้ชายถึงขยันมีเรื่องชู้สาวจังนะ?
ไม่ใช่ฝ่ายชายเท่านั้นหรอกที่เจ้าชู้ เดี๋ยวนี้ผู้หญิง เองก็ใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะใช่มะ ว่าแต่ปริมาณการเปลี่ยน คู่ของผู้หญิงอาจทำสถิติได้น้อยกว่าผู้ชายเท่านั้น ถึงได้มีคำพูดให้ได้ยิน กันไงว่า คนหล่อชอบเปลี่ยนคู่ คนสวยชอบเปลี่ยนใจ...เอ๊ะรึว่าโลกนี้หาคนจริงใจไม่ได้ แล้ว ต๊ายตาย อย่ามองโลก ในแง่ร้ายอย่างงั้นสิจ๊ะ
แม้โลกนี้จะขมุกขมัว และเต็มไปด้วยความลับกับคำโกหก แต่เราก็ควรมองโลกด้วยความสดใส และเปี่ยมไปด้วยความหวังกันหน่อยเด้ อย่างน้อยช่วย มอบความจริงใจให้กันสักติ๊ดก็ยังดี
4. ถามว่า ผู้ชายให้ความสำคัญกับขนาดของหน้าอกผู้หญิงแค่ไหน?
ผู้หญิงที่มีขนาดของหน้าอกหน้าใจใหญ่โต มักปั่นหัวผู้ชายได้เสมอล่ะจ้ะน้อง
ทรวงอกขนาดใหญ่เหล่านี้มักกระตุ้นสัญชาตญาณ ของเพศผู้ว่า ผู้หญิงที่อวบอั๋น เต่งตึงน่ะ พร้อมเสมอแหละที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศง่ายจะตาย ก็พวกเธอออกจะยั่วยวนปานนี้นี่นา อู้หู ไม่รู้เป็นคำด่า (ว่าสาวทรงโตใจง่าย) หรือชม (ว่าสาวอวบอั๋นมีหุ่นน่าซุก) กันแน่ แต่ที่ชัวร์ๆ คำตอบของข้อนี้ก็คือ ทรวดทรงองค์เอว โดยเฉพาะหน้าอกของสาวๆน่ะมีผลต่อเพศชายแหงแก๋
เอ๊ะแต่ที่บอกอย่างนี้ไม่ได้หนับหนุนให้ผู้หญิงที่มีทรงเล็ก ต้องรีบกุลีกุจอไปผ่าตัดเสริมเต้าหรอกนะ เพราะถ้า “ขนาด” ของผู้หญิงมันใหญ่โตเทอะทะจนเข้าขั้นเว่อไปแล้วล่ะก็ บางทีอะไรที่ดูปลอมๆ อาจไม่เป็น ที่ต้องใจของคนที่ชอบของจริงก็ได้
5. ผู้ชายอ่อนไหวกับการแสดงออกทางเพศต่อหน้าคนอื่นจริงหรือ?
เอ้าไม่รู้หรือว่าการแสดงออกเป็นปัญหาสำหรับผู้ชายเสมอแหละ หนุ่มส่วนใหญ่แทนที่จะวางท่า เพื่อให้ผู้หญิงเกิดความประทับใจ แต่ปรากฏว่าถ้าเผอิญคนในกลุ่มเกิดพูดถึงรสนิยม ทางเพศขึ้นมาเมื่อไหร่ ผู้ชายนั่นแหละจะทำหน้าทำตาจนกลายเป็นกลุ่มที่ไม่น่าไว้วางใจ มากที่สุดขึ้นมาทันที ประมาณสายตาหื่น ออก อะไรเงียะนะ
จึงแม่นแล้วน้อง ว่าผู้ชายมีความอ่อนไหวง่ายจะตายพอพูดถึงเรื่องเซ็กซ์ขึ้นมา ซึ่งก็มีข้อดี อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่จะร้ายเสมอไป โดยเฉพาะในกรณีของคู่รัก เอ้าลองคิดดูนะ ถ้าฝ่ายหญิงอยากเร้าอารมณ์สามีก็ง่าย นิดเดียว แค่พูดให้เขาซาบซ่านแค่ว่า ชั้นหลงใหลร่างกาย คุณเหลือเกิน...แค่นี้สุดหล่อก็จะเริ่มควบคุมอารมณ์ ไม่อยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสียเวล่ำเวลา ปลุกเร้าอะไรกันให้ เยิ่นเย้อไงล่ะ
6. ผู้ชายกังวลเกี่ยวกับขนาดของ “น้องชาย” ของเขานักหรือ?
ผู้ชายมากมายคิดทั้งนั้นแหละว่า ขนาดของน้องชายของเขาพอเหมาะพอดีแล้วหรือยัง? และถ้ามี ช่องทางอื่นใดอีกหรือเปล่าที่ช่วยทำให้ใหญ่เบิ้มได้อีก โอ้โห ถ้าไม่เรียกว่ากังวลแล้ว จะเรียกว่าอะไรละเนี่ย
7. ทำไมผู้ชายจึงชอบออรัลเซ็กซ์? ก็เพราะมันให้ความเพลิดเพลินเจริญใจกะเค้าน่ะซี้ถามด้าย....
สุดท้าย 8. อะไรที่ทำให้ผู้หญิงเป็นคู่รักที่ดีที่สุดของเขาได้ล่ะ?
หนุ่มๆเค้าก็มีความคาดหวังเหมือนสาวๆเกี่ยวกับเรื่องแฟนเหมือนกันนั่นแหละ เช่น อยากมีแฟนเป็นสาวหวาน รู้จักปรนนิบัติเอาใจใส่ และ ถ้าเผื่อรักเขาอย่างจริงจังด้วยล่ะก็ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่วิเศษสุดเลยเชียวล่ะ
No bra
fwdmail
เราเคยเชื่อกันว่ามะเร็งเต้านม มีสาเหตุมาจาก
การรับประทานอาหารที่มีผลเสียต่อสุขภาพ
หรือไม่ค่อยได้ออกกำลังกายใช่ไหมคะ
แต่เมื่อไม่นานมานี้ที่สหรัฐอเมริกา
มีการศึกษาถึงเรื่องชุดชั้นในกับการเกิดมะเร็งเต้านม
(Bra and Breast Cancer Study)
พบว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่
มักมีประวัติการใส่ชุดชั้นในที่ค่อนข้างคับ หรือรัดหน้าอกมากเกินไป
และมักจะใส่ชุดชั้นในตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลานอน
ทราบไหมคะว่า ชุดชั้นในที่พวกเราสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้
สร้างแรงกดทับให้กับหน้าอกมาก โดยเฉพาะกับระบบน้ำเหลือง
ซึ่งจะมีท่อเล็กๆ เชื่อมกับเนื้อเยื่อของหน้าอก
และเจ้าท่อที่ว่านี้จะทำหน้าที่ลำเลียงสารพิษ ของเสีย
เซลล์ มะเร็ง ไวรัส แบคทีเรีย และสิ่งต่างๆ ออกไปกำจัด
เพราะฉะนั้นการที่เราใส่ชุดชั้นใน
ก็เหมือนกับว่าเราต้องบังคับหน้าอกให้เป็นทรง และปิดทางเดินของน้ำเหลือง
จากบริเวณหน้าอกให้มากระจุกตัวเป็นก้อน ของเหลวก็จะเกิดการคั่งค้าง
บวมและรวมตัวกันเป็นถุงหรือกระเปาะเล็กๆขึ้นมา
สารพิษที่ต้องไหลผ่านไปก็มาอัดตัวตามน้ำเหลือง
ที่ถูกขัดขวางการไหลเวียนจากชุดชั้นในที่คับติ้วนี่เอง
นอกจากนี้ชุดชั้นในยังทำให้หน้าอกของเราอ่อนแอลงด้วยนะคะ
เพราะการพึ่งพาชุดชั้นในมากเกินไป ทำให้หน้าอกไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง
ไม่มีโอกาสได้ปรับสภาพให้เหมาะสมกับตัวเองสักเท่าไร สุดแต่ชั้นในจะพาไป
แต่ถ้าไม่ให้ใส่ชุดชั้นในเลยก็คงจะเกินไปหน่อย ตามหลักทางสายกลาง
ความลงตัวของเรื่องก็คงอยู่ที่ว่า ใส่ชุดชั้นในตามปกติก็ได้
แต่เลือกแบบที่ไม่คับมาก สวมใส่พอสบาย ไม่อึดอัด
และถ้าทำได้ก็ไม่ควรใส่ในเวลานอน ด้วยเหตุผลดังกล่าว
ที่มา: นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 65
เราเคยเชื่อกันว่ามะเร็งเต้านม มีสาเหตุมาจาก
การรับประทานอาหารที่มีผลเสียต่อสุขภาพ
หรือไม่ค่อยได้ออกกำลังกายใช่ไหมคะ
แต่เมื่อไม่นานมานี้ที่สหรัฐอเมริกา
มีการศึกษาถึงเรื่องชุดชั้นในกับการเกิดมะเร็งเต้านม
(Bra and Breast Cancer Study)
พบว่าผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่
มักมีประวัติการใส่ชุดชั้นในที่ค่อนข้างคับ หรือรัดหน้าอกมากเกินไป
และมักจะใส่ชุดชั้นในตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลานอน
ทราบไหมคะว่า ชุดชั้นในที่พวกเราสวมใส่กันอยู่ทุกวันนี้
สร้างแรงกดทับให้กับหน้าอกมาก โดยเฉพาะกับระบบน้ำเหลือง
ซึ่งจะมีท่อเล็กๆ เชื่อมกับเนื้อเยื่อของหน้าอก
และเจ้าท่อที่ว่านี้จะทำหน้าที่ลำเลียงสารพิษ ของเสีย
เซลล์ มะเร็ง ไวรัส แบคทีเรีย และสิ่งต่างๆ ออกไปกำจัด
เพราะฉะนั้นการที่เราใส่ชุดชั้นใน
ก็เหมือนกับว่าเราต้องบังคับหน้าอกให้เป็นทรง และปิดทางเดินของน้ำเหลือง
จากบริเวณหน้าอกให้มากระจุกตัวเป็นก้อน ของเหลวก็จะเกิดการคั่งค้าง
บวมและรวมตัวกันเป็นถุงหรือกระเปาะเล็กๆขึ้นมา
สารพิษที่ต้องไหลผ่านไปก็มาอัดตัวตามน้ำเหลือง
ที่ถูกขัดขวางการไหลเวียนจากชุดชั้นในที่คับติ้วนี่เอง
นอกจากนี้ชุดชั้นในยังทำให้หน้าอกของเราอ่อนแอลงด้วยนะคะ
เพราะการพึ่งพาชุดชั้นในมากเกินไป ทำให้หน้าอกไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง
ไม่มีโอกาสได้ปรับสภาพให้เหมาะสมกับตัวเองสักเท่าไร สุดแต่ชั้นในจะพาไป
แต่ถ้าไม่ให้ใส่ชุดชั้นในเลยก็คงจะเกินไปหน่อย ตามหลักทางสายกลาง
ความลงตัวของเรื่องก็คงอยู่ที่ว่า ใส่ชุดชั้นในตามปกติก็ได้
แต่เลือกแบบที่ไม่คับมาก สวมใส่พอสบาย ไม่อึดอัด
และถ้าทำได้ก็ไม่ควรใส่ในเวลานอน ด้วยเหตุผลดังกล่าว
ที่มา: นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 65
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)